เบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารหรือ Metabolic syndrome ส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินทำงานไม่ปกติ โดยสรุปสาเหตุใหญ่ของโรคเบาหวานก็คือความอ้วนและการขาดการออกกำลังกาย ร่วมกับสาเหตุปลีกย่อยอื่นๆมาร่วมด้วยเช่นวิถีการดำเนินชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โรคเบาหวานแบ่งเป็นสองชนิดคือ
ชนิดที่ 1 เป็นเบาหวานที่ร่างกายขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิง เป็นโรคเบาหวานที่เป็นกันน้อย พบได้เพียงหนึ่งคน ในคนที่เป็นโรคเบาหวานจำนวน 250 คน มักเกิดขึ้นในคนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คนเป็นเบาหวานชนิดที่หนึ่งพบว่าเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินที่ตับอ่อนถูกทำลายจากระบบภูมิต้านทานของตัวเอง ทำให้ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ ต้องได้รับอินซูลินด้วยการฉีดเท่านั้น และเท่าที่ทราบ โรคเบาหวานชนิดนี้ยังไม่มีวิธีรักษา
ชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่ร่างกายยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอหรืออินซูลินทำงานบกพร่องไป โดยอาการของโรคเบาหวานจะส่งผลให้กระหายน้ำและดื่มน้ำบ่อยเพื่อทดแทนน้ำที่ออกทางปัสสาวะ สายตาพร่ามัว น้ำหนักเพิ่มหรือลดกลับไปมาโดยไม่สามารถอธิบายได้ เซื่องซึม และมีการเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญอาหาร เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า คนเป็นเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องมักเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาเช่นโรคปลายประสาทอักเสบ แผลหายช้า หลอดเลือดเสื่อมสภาพ ไตวายและตาบอด โรคเบาหวานชนิดนี้เป็นแบบที่พบได้ 90-95 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด ในคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 นี้ ร่างกายเราสามารถผลิตอินซูลินได้แต่ไม่สามารถแยกแยะและนำอินซูลินไปใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เมื่อการใช้อินซูลินได้ไม่ดีหรือมีการดื้ออินซูลินมากๆเข้า ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนในร่างกายเราได้มากมาย อาการของโรคเบาหวานเกิดขึ้นให้เราเห็นตลอดที่เป็นโรคเบาหวาน แต่เรามักมองข้ามความจริงที่ว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคป้องกันได้อย่างเด็ดขาด และยังสามารถรักษาให้หายขาดได้เกือบ 100% อีกด้วย
คนเป็นเบาหวานส่วนมากพบว่าตัวเองตกอยู่ในหลุมดำที่สิ้นหวัง ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าจะฟื้นฟูสุขภาพของตัวเองให้กลับคืนมาได้อย่างไร ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือพวกที่เป็นเบาหวานแล้วกว่าครึ่งไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าตนเองป่วยเป็นเบาหวาน จากสถิติสำนักงานสถิติแห่งชาติอเมริกาปี พ.ศ. 2554 พบว่าโรคเบาหวานมีสถิติการเกิดใหม่พุ่งสูงอย่างน่าตกใจ คนที่ป่วยเป็นเบาหวานทั้งที่ตรวจพบและคาดว่าเป็นเบาหวานมีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา คือมีคนที่ได้รับการตรวจว่าป่วยเป็นเบาหวานแล้วกว่า 26 ล้านคน อีก 76 ล้านคนเป็นระยะก่อนเข้าสู่เบาหวานเต็มขั้น และสิ่งที่หลังม่านควันที่แพทย์ไม่ได้บอกคุณก็คือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่ป้องกันได้อย่างเด็ดขาด
จากประสบการณ์ที่ทำงานเกี่ยวกับสุขภาพที่ร้านขายยา โรงพยาบาลตลอดจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรคาวตองมานานหลายปี ได้มีโอกาสออกเดินสายไปเยี่ยมผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ในการดื่มและกินสมุนไพรคาวตองสูตรตำรับที่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถสรุปเรื่องของผู้ป่วยเบาหวานที่ผ่านมาว่า สมุนไพรคาวตองที่ผมได้พัฒนาขึ้นมานี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานทั้งสองชนิดให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือในบางรายหายจากโรคเบาหวานได้จริง ข้อมูลที่เกี่ยวกับกลไกการรักษาเบาหวานของสมุนไพรคาวตองสูตรตำรับที่ผมได้พัฒนาขึ้นมานี้เป็นผลมาจากสารรายทางหรือผลพลอยได้จากกรรมวิธีการผลิตทำให้ได้จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสและสารเบต้ากลูแคนที่เป็นส่วนประกอบหลักในโครงสร้างของผนังเซลล์ยีสต์ที่เกิดขึ้นในขบวนการหมัก จากงานวิจัยที่ผมเคยร่วมงานกับทีมวิจัยแห่งหนึ่งทำให้รู้ว่าสารPolynucleotide ที่อยู่ในนิวเคลียสของแลคโตบาซิลลัส สองสายพันธุ์ที่เราพบในน้ำหมักสมุนไพรคาวตอง มีคุณสมบัติในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในสัตว์ทดลอง(หนู)และช่วยลดเบาหวานของหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ดี โดยเบต้ากลูแคนเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นไขกระดูก[i]ให้ผลิตและปลดปล่อยสะเต็มเซลล์ให้ออกมาไหลเวียนในกระแสเลือดมากขึ้น สะเต็มเซลล์จากไขกระดูก(BMSC-Bone Marrow Stem Cell)มีคุณสมบัติดีต่อร่างกายโดยเฉพาะในการรักษาโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานต่างๆได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการค้นพบสะเต็มเซลล์โดยศาสตราจารย์ Curt Civin เมื่อปี พ.ศ. 2527 จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปส์กิน[ii] และเนื่องจากการที่ Stem cell มี marker ชนิด CD34 ทำให้เราสามารถแยกชนิดของสะเต็มเซลล์ออกมาจากเม็ดเลือดขาวอื่นๆได้[iii] เทคโนโลยีเรื่องการใช้สารที่มีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายโดยเฉพาะไขกระดูกผลิตและปลดปล่อยสะเต็มเซลล์ออกมาไหลเวียนในกระแสเลือดมากขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโรคเสื่อมเรื้อรังที่เกิดขึ้นในคนทุกชนิด ซึ่งในวงการแพทย์โรคเสื่อมมีมากมายมากกว่า 70 ชนิด รวมทั้งโรคเบาหวาน ตามหลักการแพทย์สะเต็มเซลล์ถือว่า โรคเสื่อมทุกชนิดเกิดจากการที่มีสะเต็มเซลล์ไหลเวียนในกระแสเลือดน้อยเกินไป หากคิดตามตรรกะนี้ก็แสดงว่าเมื่อเรามีเทคนิคเพิ่มจำนวนสะเต็มเซลล์ให้มากขึ้นก็สามารถย้อนกลไกของการเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อหรือรักษาโรคเสื่อมต่างๆได้นั่นเอง
สะเต็มเซลล์จากไขกระดูกมีความสามารถที่จะเคลื่อนย้ายไปยังตับอ่อนและเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเบต้าเซลล์ที่ผลิตอินซูลินที่มีประสิทธิภาพได้[iv]ในคนการกระตุ้นให้มีการปลดปล่อยสะเต็มเซลล์ออกจากไขกระดูกทำให้เพิ่มจำนวนการไหลเวียนของสะเต็มเซลล์ในเส้นเลือด ส่งผลให้มีเส้นเลือดเกิดใหม่ในตับอ่อน[v] ลดน้ำตาลในเลือดและในบางรายหยุดการใช้อินซูลินได้ การฉีดสะเต็มเซลล์ที่ทำให้การไหลเวียนของสะเต็มเซลล์ในเลือดมากขึ้นจะช่วยให้แผลจากเบาหวานหายดีขึ้นได้ โดยคนเบาหวานมีการทำงานของสะเต็มเซลล์ไม่สมบูรณ์ส่งผลให้การนำน้ำตาลไปใช้ทั่วร่างกายได้น้อยลง การมีน้ำตาลกลูโคสเหลือในเลือดมากจะเกิดปฏิกริยาที่น้ำตาลไปรวมตัวกับกรดอมิโนของโปรตีน (Glycation) ทำให้เกิดสารที่เรียกว่า AGEs( Advanced glycation end products) ซึ่งเป็นปฏิกริยาที่ไม่ต้องอาศัยเอ็นไซม์ช่วย ซึ่งปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นได้ทั้งในร่างกายหรืออาหารที่เรากินเข้าไป อันเป็นคำที่ใช้รวมๆกันที่ปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเติมออกซิเจน(ปฏิกริยาจากอนุมูลอิสระ) ซึ่งโมเลกุลที่เกิดขึ้นใหม่ที่ว่านี้เป็นสัดส่วนที่ส่งผลเสียเป็นส่วนใหญ่แก่ร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมากมาย นำไปสู่การชราของร่างกาย ทำให้อวัยวะทำงานได้สั้นลง(ทำให้สัตว์ทดลองมีช่วงชีวิตสั้นลง)หรือเสียชีวิตได้ เป็นที่รู้กันดีว่า การจำกัดปริมาณบริโภคน้ำตาลจะช่วยให้คนมีอายุยืนนานขึ้นและน้ำตาลฟรุคโต๊สเป็นน้ำตาลที่มีความรุนแรงมากที่สุดในการก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายที่ช่วยส่งเสริมให้มีการสร้าง AGEs และความชรา น้ำตาลฟรุคโต๊สทำให้มีการสร้างเซลล์ไขมันใหม่รอบๆอวัยวะสำคัญของเราเช่นหัวใจและอวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน จากการทดลองในอาสาสมัคร 16 คนที่ให้กินน้ำตาลฟรุคโต๊สปริมาณสูงเทียบกับกลุ่มควบคุม นักวิจัยได้ตรวจพบเซลล์ไขมันรอบหัวใจ ตับและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารภายในเวลาเพียง 10 สัปดาห์เท่านั้นเอง
เมื่อเร็วๆนี้ มีการศึกษาในคนจำนวนหนึ่งพบว่าการกระตุ้นให้มีการสร้างสะเต็มเซลล์ได้ผลดีมากในการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ในการทดลองมีการคัดเลือกผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นเบาหวานก่อนหน้านี้ไม่นานและได้รับการรักษาเบาหวานโดยฉีดสะเต็มเซลล์และการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสะเต็มเซลล์ คนไข้กลุ่มแรกได้รับสาร cyclophosphamide และ G-CSF ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นสารที่ใช้กระตุ้นการสร้างสะเต็มเซลล์เพื่อเตรียมเก็บสะเต็มเซลล์ในเลือดต่อไป คนไข้กลุ่มที่สองมีการฉีดสารทั้งสองดังกล่าวข้างต้นต่อมาก็เก็บสะเต็มเซลล์แล้วฉีดกลับเข้าไปในตัวคนไข้ คนไข้ทั้งสองกลุ่มได้รับการประเมินสุขภาพในภาพรวม เปรียบเทียบกันร่วมกับปริมาณการใช้อินซูลินฉีดแต่ละวัน ในวันสุดท้ายของการศึกษาทดลองพบว่า คนไข้ 13 ใน 14 คน สามารถหยุดการใช้ยาฉีดอินซูลินได้ตั้งแต่ 1-35 เดือน[vi](เฉลี่ย 16.2 เดือน) และยังมีการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงว่า BMSC สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเบต้าเซลล์ที่สามารถผลิตอินซูลินได้อีกครั้ง
โรคแทรกซ้อนของเบาหวานที่เกิดบ่อยคือ จอประสาทตาและเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงตาซึ่งเกิดจากระบบการซึมผ่านของๆเหลวผ่านผนังของเลือดเสียหายและเกิดการแตกแขนงของเส้นเลือดฝอยมากและไปปิดบังจอตาทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าจะมีการพัฒนาวิธีการต่างๆในการรักษาจอประสาทตาเสื่อม แต่ก็ไม่มีวิธีการใดที่จะแก้ไขรากเหง้าของปัญหาการขาดสารอาหารและอากาศที่ส่งไปเลี้ยงเป้าหมายในจอตาจึงส่งผลไปกระตุ้นให้มีการแตกแขนงของเส้นเลือดฝอยชดเชยเพื่อใช้เป็นทางเบี่ยงในการนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์จอตาทดแทนเส้นเลือดเดิมที่ไม่ปกติ ส่วนจอตาเสื่อมนั้น ถือเป็นโรคเนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยงรวมทั้งการแตกแขนงของเส้นเลือดใหม่ด้วย แม้ว่ามีวิธีการรักษามากมายที่ช่วยเรื่องจอตาให้มองเห็นได้ดีขึ้นได้ แต่ไม่มีวิธีการรักษาใดๆที่แสดงให้เห็นว่าสามารถแก้ไขต้นทางรากเหง้าปัญหาของการขาดออกซิเจนของเนื้อเยื่อในตาที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีการงอกขยายของเส้นเลือดฝอยในตาได้ จากการเหนี่ยวนำให้จอตาของหนูทดลองเกิดการขาดออกซิเจนและเกิดจอประสาทตาเสื่อมแล้วฉีด BMSC เข้าไปที่ตาหนูโดยตรงพบว่า เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอยในจอตาขึ้นใหม่อย่างมากมาย เพิ่มการทำงานของเส้นเลือดฝอยเดิมให้ดีขึ้นในขณะที่ลดการสร้างเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติใหม่ได้[viii]
โดยสรุป แม้ว่ายังมีงานที่ต้องค้นคว้ากันต่อเรื่องการใช้สะเต็มเซลล์ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน แต่ก็ปรากฎว่าการช่วยให้ตัวผู้ป่วยปลดปล่อยสะเต็มเซลล์จากไขกระดูกของตัวเอง จะเป็นทางเข้าถึงวิธีการรักษาผู้ป่วยเบาหวานอย่างหวังผล