สวัสดีครับในตอนนี้ ผมจะนำเอาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคกระดูกทับเส้น และกลไกการออกฤทธิ์ของสมุนไพรคาวตอง ที่ผลิตโดยผ่านการหมักแบบชีวภาพ และทำเป็นผงแห้งโดยวิธีพิเศษ(ยาคาวตองแคปซูล) ซึ่งในบทความนี้จะขอเรียก “คาวตองแคปซูล” และ (สมุนไพรคาวตองชนิดน้ำ)น้ำสมุนไพรคาวตอง ที่ผลิตโดยกรรมวิธีการหมักชีวภาพ และมีการเสริมเพิ่มกรรมวิธีพิเศษบางประการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในที่นี้ผมจะขอเรียกว่า “น้ำสมุนไพรคาวตอง” ก็แล้วกันนะครับ โดยในภาพรวม ทั้ง “คาวตองแคปซูล” และ“น้ำสมุนไพรคาวตอง” จะกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกัน และสำหรับโรคกระดูกทับเส้น “คาวตองแคปซูล” และ“น้ำสมุนไพรคาวตอง” มีวิธีการทำงานหรือกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ทำไมผู้ป่วยที่มีประสบการกินและดื่มคาวตองทั้งสองชนิดที่ผมพัฒนาขึ้นมา ถึงได้มีอาการที่เกิดจากโรคกระดูกทับเส้นดีขึ้นชัดเจน มาเล่าให้ท่านฟัง เพื่อใช้เป็นแนวทางการดูแลสุขภาพในกรณีที่ท่านประสบปัญหาเรื่องของโรคกระดูกทับเส้น โดยจะขอนำเอาข้อมูลส่วนที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ได้จริง มาเล่าให้ท่านฟัง ก็ขอให้ท่านได้โปรดใช้วิจารณญานในการรับฟังและรับเอาความรู้ไปใช้ ให้เหมาะสมกับตัวท่านก็แล้วกัน โปรดจำไว้ว่า “ลางเนื้อ ชอบลางยา” น่ะครับ
จากข้อมูลที่ได้จากการวิจัยและประสบการณ์ที่รวบรวมได้จากภาคสนามเพื่อการทำวิจัยต่อยอดในโครงการชื่อ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกิน “พลูคาวแคปซูล” และโครงการวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องของทีมงานของพวกเรา ภาพรวมกลไกการออกฤทธิ์ต่อโรคกรดูกทับเส้นของ “คาวตองแคปซูล” น่าจะเป็นดังนี้
- เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย สารออกฤทธิ์ใน “คาวตองแคปซูล”และ“น้ำสมุนไพรคาวตอง”สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองให้ยับยั้งเชื้อก่อโรคทั้งที่มีอันตรายตลอดถึงระดับอันตรายร้ายแรงในจานเพาะเลี้ยงได้อย่างน้อย 5 ชนิด จึงเท่ากับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นใหม่จากคาวตอง สามารถลดภาระหน้าที่หรืองานของร่างกายลงและเหลือภูมิต้านทานเดิมที่มีอยู่ก่อนนี้ ไปต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ส่งเสริมการอักเสบได้มากขึ้น
- “คาวตองแคปซูล”และ“น้ำสมุนไพรคาวตอง”มีคุณสมบัติกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตและเพิ่มจำนวนสะเต็มเซลล์ให้มากขึ้น สะเต็มเซลล์เป็นเซลล์สำรองที่มีหน้าที่คอยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสียหายของร่างกายในทุกตำแหน่ง รวมทั้งเซลล์เนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์กระดูก และเซลล์ประสาทด้วย
ต่อไปนี้ ผมจะได้นำเอาข้อมูล เรื่องราวที่เกี่ยวกับสมมุติฐานการเกิดโรคกระดูกทับเส้น การดำเนินการของโรคและวิธีการรักษาโรคกระดูกทับเส้น ที่การแพทย์แบบแผนหรือการแพทย์สมัยใหม่ดูแลรักษาผู้ป่วย ที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือที่รู้จักกันว่าโรคกระดูกทับเส้น ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างไรน่ะครับ
.................................................................................................
โรคที่เรียกกันว่าหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือกระดูกทับเส้น จะมีอาการโรคปวดบั้นเอวหรือหลังตรงบริเวณที่กระดูกกดทับเส้นประสาทแล้วปวดร้าวมาที่ขาและปลายเท้าอันเนื่องมาจากสาเหตุที่รู้จักกันว่า กระดูกทับเส้น เป็นอาการปวดที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานจนหลายคนต้องกลายเป็นอัมพาต ขาไม่มีเรี่ยวแรงในการพยุงตัวให้เดินหรือช่วยเหลือตัวเองได้ จะเห็นได้ว่าความเสียหายเกิดสองส่วนคือ หมอนรองกระดูกเสียหายทำให้เส้นประสาทที่ออกจากไขสันหลังถูกกระดูกข้อต่อสันหลังกดทับ เกิดอาการปวดหรือชาที่ขา ตามแนวที่เส้นประสาทวิ่งไป สามารถปวดได้ตั้งแต่บริเวณเอว ต้นขา น่อง ไปจนถึงบริเวณเท้าและนิ้วได้ ขาจะอ่อนแรงโดยมีลักษณะคล้ายอาการปวดและชาของกล้ามเนื้อมัดที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับไว้
มีการทดลองในต่างประเทศที่ฉายรังสีที่ตัวหนูเพื่อทำลายสะเต็มเซลล์ของหนูให้ตายไปหมดแล้วฉีดสะเต็มเซลล์ที่สามารถเรืองแสงได้จากโปรตีนเรืองแสงที่ได้จากแมงกระพรุนหรือ GFP นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสะเต็มเซลล์เรืองแสงปรากฏอยู่ตามอวัยวะหลายแห่ง แต่ที่สำคัญกว่านี้ก็คือสะเต็มเซลล์ที่เรืองแสงได้เหล่านี้ไปปรากฏที่เนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่อื่นของร่างกาย อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บก็เริ่มเกิดเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะของมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อวัยวะที่เหล่านี้เรืองแสงได้ก็หมายความว่ามันเกิดขึ้นมาจากสะเต็มเซลล์จากไขกระดูก สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นปรากฎการณ์ที่ครั้งหนึ่งธรรมชาติได้ซุกซ่อนไว้ก็กลับมาแสดงวิธีการทำงานให้ปรากฎแก่สายตามนุษย์ ซึ่งการค้นพบนี้ก็ได้เปลี่ยนวิธีมองชีววิทยาศาสตร์ไปโดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราได้รู้ว่ามนุษย์เป็นเพียงผู้ค้นพบสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่หรือรู้ว่าสิ่งที่ร่างกายดำเนินการไปในความลึกลับตลอดเวลานั้นเป็นอย่างไร แล้วนำผลที่เกิดขึ้นมาอธิบายบอกเล่าให้สังคมรับรู้เพื่อความเข้าใจเป็นภาษาเดียวกันหรือภาษาทางการแพทย์ที่เข้าใจกันได้ทั้งโลก เพื่อนำมาใช้พัฒนาวิธีการที่ดีกว่าในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นปัญหาต่อวงการสาธารณสุขต่อไป เรื่องที่ผมนำมาเล่าให้ท่านฟังดังกล่าวนี้นับว่าเป็นเรื่องใหม่ในวงการแพทย์มาก ที่เรียกว่าใหม่ในที่นี้อยากจะบอกว่า คนในวงการแพทย์ทุกสาขาก็เหมือนคนในสังคมทั่วๆไปเหมือนกัน หากไม่ยอมเปิดตาเปิดใจหรือวันๆเอาแต่ทำงานกิจวัตร ทำมาหาเลี้ยงชีพในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ ก้ย่อมไม่มีเวลาแสวงหาสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องหรือหลักการใหม่ๆที่แปลกแยกไปจากองค์ความรู้เดิมที่มีหนังสือตำราอ้างอิงไว้มาก ก็จะยิ่งทำให้ความคิดเห็นเดิมมั่นคงเปลี่ยนแปลงยาก การแพทย์แต่โบราณที่เราเรียกว่าแพทย์แผนโบราณถือเป็นลูกคลื่นใหญ่ในอดีต ที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาหลายพันปี ได้ถูกการแพทย์แผนปัจจุบันที่เป็นคลื่นลูกใหญ่ลูกที่สองกลืนไปเกือบหมดเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ในขณะที่สังคมกำลังประสบปัญหาโรคภัยมากมายที่การแพทย์แบบแผนไม่สามารถช่วยเราได้ เช่นโรคแห่งวัฒนธรรมตะวันหรือโรคแห่งความร่ำรวยหรือภาษาการแพทย์เรียกว่า Metabolic syndrome อุทาหรณ์ที่ชัดเจนก็คือกรณีของ นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผอ.รพ.ราชธานี และประธานกรรมการบริหารศูนย์การแพทย์เวลเนส ซิตี้ จังหวัดอยุธยา ที่ป่วยด้วยโรคร้าย 6 ชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ ทั้ง 6 โรคร้ายที่เป็นกลุ่มโรค Metabolic syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เป็นปัญหาต่อวงการแพทย์ทั่วโลก นพ.บุญชัยเองเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็ไม่สามารถใช้ความรู้และยาที่อยู่ในวิถีการแพทย์แผนปัจจุบันรักษาตัวเองให้หายได้ ต้องกลับไปใช้วิธีธรรมชาติบำบัดโดยใช้ยาในขบวนการรักษาเลย จึงสามารถรักษาตัวเองให้หายได้โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้นเอง เมื่อสังคมได้ตระหนักชัดว่าการแพทย์แบบแผนเริ่มถึงทางตัน มนุษย์ก็พบแสงสว่างใหม่ที่เป็นเหมือนคลื่นลูกที่สามของการแพทย์ก็คือ การแพทย์สะเต็มเซลล์ และยังไม่นับคลื่นลูกที่สี่ของการแพทย์ที่เรียกว่า การแพทย์พลังงาน อันเป็นอภิมหาคลื่นของวงการแพทย์ หากผู้ใดทำใจรับกระแสคลื่นการแพทย์สะเต็มเซลล์ไม่ได้ ไม่ปรับทัศนคติให้พร้อมในการเข้าถึงของการแพทย์สะเต็มเซลล์ ก็คงไม่อาจทนทานต่อกระแสอภิมหาคลื่นแห่งการแพทย์พลังงานไปได้ ซึ่งเรื่องนี้เราจะมาพูดถึงกันในโอกาสต่อไป เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์คาดว่าหัวคลื่นการแพทย์พลังงานที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ คงมาถึงสังคมมนุษย์ในอีกนานราวห้าสิบปีข้างหน้า แต่การแพทย์สะเต็มเซลล์ที่กำลังเป็นกระแสเชี่ยวกรากของการแพทย์ใหม่ และกำลังผลักดันการแพทย์แบบแผนเดิมให้ถอยร่นอยู่อย่างเข้มข้นนี้ ก็เริ่มมีการนำมาใช้งานกันในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศที่เริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนประเทศไทย โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ได้อนุมัติและส่งเสริมให้มีการทำวิจัยเรื่องสะเต็มเซลล์ตัวอ่อนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 ปรากฏว่ามีงานวิจัยเรื่องสะเต็มเซลล์ที่ทำไปก่อนหน้านั้นแล้ว ออกมาตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และเผยแพร่ใน NIH Medical Library มากกว่า 2 พันเรื่องในช่วงเวลาแค่ 2 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2552 และหากนับงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์หลังจากปีนั้นมาอีก3 ปี พบว่ามีงานวิจัยเรื่องสะเต็มเซลล์มากกว่า 5 หมื่นเรื่อง ซึ่งมีการคาดว่าทั้ง 5 หมื่นเรื่องนี้นับเป็นส่วนน้อยมากที่หลุดออกมาในสื่อให้พวกเราทราบ(งานจำนวนมาก เป็นความลับที่ผู้วิจัยไม่ยอมให้มีการเผยแพร่) นี่คือภาพที่จะแสดงให้ท่านเห็นว่าไม่มีงานวิจัยในศาสตร์สาขาใดที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วและมากมาย เท่ากับการแพทย์สะเต็มเซลล์ เราไม่รู้ว่าความรู้อีกมากมายที่เกิดขึ้นและซ่อนอยู่ในมิติของเวลาที่หมุนเร็วจี๋ของการแพทย์สะเต็มเซลล์นี้ อาจจะพลิกโลกของการแพทย์ไปสักแค่ไหนนั้น ก็ยังไม่มีใครคาดเดาได้เลย ภาพที่ผมฉายให้ท่านผู้ฟังได้เห็นคร่าวๆนี้คงจะทำให้เกิดแนวคิดใหม่ มุมมองใหม่ของสุขภาพและโรคต่างๆของท่านไม่มากก็น้อย หลังการปฏิวัติสื่อสารจากสื่อหลักไปเป็นสื่อใหม่ ที่ทำให้เราได้รับความรู้จากอินเตอร์เน็ต เฟซบุ๊ค หรือการแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านโปรแกรมไลน์ทางโทรศัพท์อัจฉริยะ ทำให้เหล่ากูรูที่ตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา ต้องพากันตกงานเป็นแถว เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ ผ่านเสิร์จเอ็นจิน กูเกิ้ลหรือดูยูทูป เห็นการสาธิตเหมือนจริงได้ทุกเรื่อง ผมคิดว่าในเรื่องของสุขภาพที่เป็นร่างกายของเราเองแท้ๆ และเราเองก็เป็นเจ้าของสิทธิ์ผู้ครอบครอง ทั้งร่างกายและจิตใจ มาตั้งแต่ถือกำเนิดมาจากท้องแม่ เราควรมีบทบาทในการตัดสินใจ ที่จะปฏิบัติต่อตัวเรามากกว่าผู้ใดในโลก ยกเว้นขณะเกิดอุบัติเหตุไม่รู้สึกตัว องค์ความรู้ที่มีมากเกินพอในโลกนี้ และเราสามารถสืบค้นได้จากสื่อสารสมัยใหม่ จะทำให้เราเป็นผู้จัดการตัวเอง ได้ดีกว่ารอการช่วยเหลือจากคนอื่น ที่สังคมและกฏหมายแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดูแลรักษาโรคให้กับเรา เราควรมีสิทธิในการจัดการเรื่องของสุขภาพของเราเอง โดยเริ่มตั้งแต่การป้องกันไปจนถึงการรักษา เรื่องของโรคกระดูกทับเส้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเองคิดว่า ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ สืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลจากผู้รู้ต่างๆ ผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตให้มากที่สุด หาข้อมูลจากหลายๆคนที่น่าเชื่อถือ หากไม่มีความจำเป็นรีบด่วน ที่แพทย์ได้กำหนดเวลาไว้ ก็ให้ลองใช้วิธีการแพทย์ทางเลือก เพื่อยืดเวลาออกไปก่อน บางทีท่านอาจไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ที่จะทำให้เสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ผมคิดว่า ท่านจำเป็นต้องรู้ หากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระดูกทับเส้น.........
...........................................................................................................................
งานที่ผมทำเรื่องสมุนไพรคาวตอง ก็เป็นเสมือนวิธีหนึ่งที่จะอ่านภาษาของธรรมชาติ ที่ควบคุมพลังชีวิตในการรักษา บางครั้งธรรมชาติก็สื่อสารให้เรารู้ จากอาการที่เกิดขึ้นแล้วแสดงผลดีที่เกิดขึ้นหลังจากได้ใช้วิธีที่ถูกต้องในการรักษา วิธีนี้เป็นการลองผิดลองถูก ที่มนุษย์ทั่วโลกใช้กันมาแต่โบราณ หลังจากที่องค์ความรู้เรื่องสะเต็มเซลล์ มีการตีพิมพ์เผยแพร่มากขึ้น ผ่านสื่อใหม่ทางอินเตอร์เน็ต ทำให้การลองผิดลองถูกขีดวงมาให้แคบเข้ามากขึ้น แต่กรณีของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ คาวตองแคปซูลหรือชนิดน้ำ ได้เกิดผลดีตามความคาดหมายไปทั่วประเทศแล้วมากมาย จึงสามารถนำเอาทฤษฎีของการแพทย์สะเต็มเซลล์ไปจับ และอธิบายได้ง่ายขึ้น เป็นเหมือนการจำลองผลที่ปรากฎ โดยใช้สมุนไพรคาวตองไปแทนการฉีดสะเต็มเซลล์หรือการใช้สารที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นสะเต็มเซลล์อื่นๆเช่น G-CSF, SCF(Stem Cell Factor), IL-8(Interleulin 8) หรือ Sulfated Glucans
ปัญหาการเสื่อมของหมอนรองกระดูก และการอักเสบของเส้นประสาท การไม่ทำงานของกล้ามเนื้อมัดที่ไปช่วยพยุงขาในการเดิน เป็นเหมือนภาพเหตุการณ์ในภาพยนต์ที่เลื่อนไหลต่อเนื่องไปข้างหน้าเรื่อยๆ วงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การแพทย์สะเต็มเซลล์ ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสะเต็มเซลล์ที่มีจำนวนมากพอ จะไปซ่อมแซมเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกายได้ สารเบต้ากลูแคนได้รับการยืนยันทั่วโลกว่า สามารถกระตุ้นให้มีจำนวนสะเต็มเซลล์ในกระแสเลือดมากขึ้นได้ จะแตกต่างกันไปบ้างที่แหล่งกำเนิด หรือโครงสร้างเล็กน้อยของสารเบต้ากลูแคน ที่ส่งผลให้ฤทธิ์ในการกระตุ้นสะเต็มเซลล์ไม่เหมือนกัน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นจริงในคนเมื่อนำไปใช้ก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละคนอีกด้วย
สรุปก็คือ คาวตองแคปซูลหรือน้ำที่พัฒนาขึ้นมานี้ สามารถใช้เสริมการรักษาผู้ป่วยกระดูกทับเส้นของแพทย์แบบแผน โดยไปช่วยกระตุ้นสะเต็มเซลล์จากไขกระดูกให้เพิ่มมากขึ้น ไปซ่อมแซมหมอนรองกระดูก เส้นประสาทตลอดจนกล้ามเนื้อทุกองค์ประกอบ ให้สามารถฟื้นฟูกลับมาทำงานและช่วยให้คุณภาพผู้ป่วยดีขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง